ผมได้ยินข่าวสารจาก
กรมการพัฒนาชุมชน มานานพอสมควรกับ โครงการ CD : Talent
ซึ่งได้รับฟังมาจาก กลุ่มเพื่อน ๆ อีกทอดหนึ่งว่า ท่านอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน
(อภิชาติ โตดิลกเวช) ท่านหมายมั่นปั้นมือ ว่าโครงการนี้
จะก่อตัวสร้างพลังพัฒนากรรุ่นใหม่ของกรมการพัฒนาชุมชน ให้มีพลังโลดแล่นทำงาน ขับเคลื่อนนโยบายกรม ลงไปสู่ชุมชนอย่างลงตัว และเกิดพลังเหมาะสมกับภาวะของยุคสมัย
ทันทีที่กรม
ฯ
ส่งหนังสือสั่งการอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร มาสู่พื้นที่ ผมรีบอ่านหนังสืออย่างละเอียด ใจความว่า จะเปิดโอกาสให้พัฒนากรรุ่นใหม่ ที่มีอายุอานามไม่เกิน ๔๕
ปี มีที่ดินเป็นของตนเอง
มีพื้นที่ปฏิบัติการของตนเอง มากบ้างน้อยบ้าง สมัครเข้าร่วมโครงการ เมื่อได้รับคัดเลือกแล้ว ต้องไปอบรมที่ ศูนย์บ่มเพาะ จำนวน
๑๑ แห่งทั่วประเทศไทย งานนี้กรมฯ
ตั้งเป้า ไว้ที่ ๖๐๐ คนสำหรับพัฒนากร
รุ่นใหม่ที่ต้องการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต ตามแนวทาง
วิถีพัฒนากรท้าท้าย
ผมเองตัดสินใจ
ส่งใบสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ ทันที เพราะเป็น
แนวทางที่ผมชอบและถือปฏิบัติเสมอชอบเรียนรู้งานลักษณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ได้เรียนรู้ข้ามองค์กร
แน่นอนว่า มันจะช่วยเปิดมุมมองของเราให้กว้างขึ้น
เมื่อเดินทางมาถึง บริเวณอบรม
ผมเห็น บรรยากาศรอบศูนย์บ่มเพาะแห่งนี้ เสมือนหนึ่งเป็นโอเอซีส เป็นพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์จริงๆ
เมื่อเทียบกับแปลงอื่น ที่ดูแห้งแล้ง มีตอซังข้าวจากฤดูกาลผลิตก่อน ที่นี่มีต้นไม้น้อยใหญ่ มีพืชคลุมดิน มีสระน้ำ แปลงเกษตรแห่งนี้ จัดแจงแบ่งส่วน พื้นที่ให้มีคันคู
ปั้นคันนาขนาดใหญ่ เพื่อปลูกไม้ป่านานาชนิด เท่าที่สังเกตด้วยสาย มีไม้ยางนา พยุง
มะฮอกกะนี แดง ดู่ และอีกนับไม่ถ้วน ที่แข่งขันกันชูลำต้นสลอน
เบียดแย่งแข่งขันรับแสงแดด ดังนั้น
ไม้แต่ละลำจึงยืนต้นสง่างาม
มองดูสบายตา สวยงามยิ่ง
เรียกว่าผู้ผ่านมาศึกษาดูงานต่างประทับใจเมื่อได้ยล
องค์ความรู้ของปราชญ์ชาวบ้านที่ผ่านการเดินทาง
ลองผิดลองถูก มาระยะหนึ่ง กว่าความคิดจะตกผลึก และ เป็นจุดขยายความรู้
ให้พวกเราในวันนี้ มันดีมาก ๆ ผมคิดว่า
แนวทางนี้ล่ะครับ จะเป็นทางเลือกทางรอดให้สังคมไทย
พี่หนึ่ง คำนึง เจริญศิริ หนุ่มวัยกลางคน ผู้เป็นเจ้าของสวน
เล่าถึงแรงดลใจ ของการเนรมิตที่แห่งนี้ว่า
เขาเริ่มปรับพื้นที่แห่งนี้ เมื่อ ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา เพราะพี่หนึ่งเอง ได้เรียนรู้ความคิดจากปราชญ์ชาวบ้านคนสำคัญ
อีกท่านหนึ่งของจังหวัดบุรีรัมย์ พ่อคำเดื่อง
ภาษี คือครูต้นแบบ ที่ปลูกฝัง และสร้างประกายความคิดให้พี่หนึ่ง
ในอดีตพี่หนึ่งเป็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่อยากมีอยากได้ และเข้าไปค้าแรงงานถึงกรุงเทพ ฯ
กลับมาบ้านช่วงงานบุญประเพณี และเทศกาล
สำคัญ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์
ก็เมามายหัวราน้ำไม่ต่างจากวัยรุ่นขอยุคสมัย เพียงแต่
ในวันหนึ่ง เขาพบจุดเปลี่ยนของชีวิต
ทัศนคติเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน นับตั้งแต่นั้นมาพี่หนึ่งก็
มุมานะในการสร้างสวนป่า ที่มีความสมบูรณ์แบบ
ในปัจจุบัน
ส่งผลให้ชีวิตพี่หนึ่งพบความสุข
และได้ขยายแนวคิดการปลูกป่า
สู่ชุมชนรอบข้าง และที่น่า
อัศจรรย์ใจ จริง คือการขยายผลสู่ชุมชน ที่พี่หนึ่งสามารถร่วมกับชุมชน ขับเคลื่อนการใช้ที่ดินสาธารณะประโยชน์ ในอดีตที่มีความว่างเปล่า ให้กลับมาเป็นป่า เป็นพื้นที่ใช้สอยร่วมกันของคนในหมู่บ้าน ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการจัดการแปลง จัดการระบบน้ำ
จัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน
ของคนในชุมชน ให้ลุกขึ้นมา ทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ รักษาดิน รักษาน้ำ
รักษาป่า นอกจากนั้น ยังขยายผลแนวคิดการปลูกป่า ไปยังปัจเจกบุคคล อีกหลากหลาย
ในหมู่บ้านละแวกเดียวกัน
ผมขอคารวะ พี่หนึ่ง
คำนึง เจริญศิริ ด้วยหัวใจ
ด้วยความจริงใจ
ท่านคือที่สุดของนักพัฒนา ที่ลงมือทำให้เห็นผล อย่างชัดเจน มีรูปธรรม ควรค่าแก่การยกย่องให้เป็นครูของแผ่นดิน
ท่านคือที่สุดของนักพัฒนา ที่ลงมือทำให้เห็นผล อย่างชัดเจน มีรูปธรรม ควรค่าแก่การยกย่องให้เป็นครูของแผ่นดิน
เมื่อ กระบวนการตั้งคำถาม
ว่าเรามีเป้าหมาย
อะไรบ้างในการมาเรียนรู้
ครั้งนี้ ผมตอบไปว่า
มีเป้าหมาย สำคัญ ๓
ประการ คือ (๑) ผมมาที่นี่เพื่อพักผ่อน (๒) มาเพื่อซึมซับรับรู้ เปิดประตูประสาททุกบาน ซึมซับความงดงามของที่นี่ ไปใช้ในชีวิต
(๓) ผมมาเพื่อเรียนรู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ผมประเมินตนเองเมื่อครบหลักสูตรว่า ได้อะไรมากมายเหลือเกิด เกิดไอเดีย เกิดความคิด แรงบันดาลใจมากมาย ผมได้เขียนฝันลงบนกระดาษ แล้ว เหลือเพียงแค่ ขับเคลื่อนสู่ความจริง สิ่งหนึ่งที่ ตั้งใจอยากทำคือการปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเอง และการจัดการระบบน้ำแบบคลองไส้ไก่เพื่อทำเกษตรแบบประณีต
ในพื้นที่เล็ก ๆ และค่อย ๆ ขยายไปให้มากขึ้น ๆ
ในมุมมองของความเป็นนักพัฒนา
ผมเห็นว่า
ทิศทางการคิดของกรมการพัฒนาชุมชนในครั้งนี้ น่ายกย่อง และให้เครดิตคนคิดงาน เพราะงานแบบนี้ เป็น การจัดการศึกษาที่กินได้
จัดการศึกษาแบบส่งเสริมให้ลงมือปฏิบัติการจริง แล้วนำบทเรียนจากการปฏิบัติการ เหล่านั้น
มาสังเคราะห์ ให้เห็นบทเรียน ว่า
สิ่งที่เราลงมือทำนั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ได้บทเรียนอะไร
แบบนี้เองที่จะทำให้กระบวนการเรียนรู้เกิดพลัง
และสอดคล้องต้องกันกับกรอบแนวคิดการการจัดการศึกษา เรียนรู้ยุคใหม่ ถ้าพัฒนากรปรับกระบวนเหล่านี้ ไปใช้ ผมขอยืนยัน อีกหนึ่งเสียว่า เราเดินมาถูกทาง ทำดีแล้ว
ทำต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น