ผมสนทนา กับอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่เคยร่วมกันทำงาน ในประเด็นงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ปัจจุบันท่านผันตัวเอง ไปเป็นอาจารย์สอน ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ สาขาการพัฒนาสังคม ใจความสำคัญของการสนทนา ท่านมีความประสงค์ที่จะส่งลูกศิษย์ของท่าน มาฝึกประสบการณ์กับผม ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอปรางค์กู่ ด้วยความที่ผมเป็นเพียง พนักงานในระดับปฏิบัติการ ในองค์กรเท่านั้น จึงแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่กล้ารับปากไป ได้แต่ บอกว่า ขอไปปรึกษาผู้บังคับบัญชาก่อน
กาลเวลาผ่านไป นานพอสมควร ผมจึงได้รับสายโทรศัพท์ จากน้อง ๆ นักศึกษาที่ ม.ราชภัฎบุรีรัมย์ มาติดต่อพูดคุย เรื่องการฝึกประสบการณ์ ที่ อ.ปรางค์กู่ จำนวน ๕ คน ซึ่งผมปรึกษาท่านผู้บังคับบัญชา แล้ว มีความเห็นร่วมกันว่า นักศึกษาฝึกงาน ๕ คน นั้น มีปริมาณมากเกินกว่า ที่สำนักงานจะรับได้ ดังนั้น จึงเสนอท่านไปว่า ขอออกแบบงานให้นักศึกษา ทำงานในพื้นที่ นอนในหมู่บ้าน โดยท่าน ให้ผมเป็นพี่เลี้ยง ดูแล กำกับ ติดตามสนับสนุนการทำงาน ของน้องให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการฝึกประสบการณ์ ที่นี่ ตลอดระยะเวลา ๒ เดือน ซึ่งเงื่อนไขการนอนพื้นที่ น้อง ๆ ก็ยอมรับได้ จึงตกลงปลงใจ มาทำงานร่วมกัน กระทั่งปัจจุบัน
ผมได้ออกแบบ ให้น้อง นอน ทำงานในชุมชน ศึกษางานจากชุมชนเชิงลึก ตามแนวทางของนักมานุษยวิทยา ที่ต้องคลุกคลีตีโมง กับชุมชน เรียนรู้พร้อมๆ กันกับประชาชน ซึ่งหลักสูตรนี้ เพื่อพัฒนากร ที่สำนักงานพัฒนาชุมชน ต่าง บอกว่า เป็นหลักสูตรที่ค่อนข้างโหด ลำบากลำบน ไม่รู้จะอยู่จะกิน หรือนอน แบบไหน อย่างไร แต่ผมก็ใจแข็ง และคิดว่า ไม่หนักจนเกินไป เพราะ ผมเองก็เคยผ่านสถานการณ์ เช่นนี้ มาบ้าง เมื่อครั้ง เป็นนักศึกษา
ตลอดระยะเวลา ๒ เดือน น้อง ๆ ได้เรียนรู้ กับชุมชน ถึง ๕ ชุมชน และได้ใช้เครื่องมือ ๗ ชิ้นของ ดร.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ เป็น เครื่องมือ ในการทำความเข้าใจกับชุมชน การอยู่การกินของน้อง ๆ จึงผูกพันธ์ กับ สภาพของชุมชน ชุมชนบางแห่งดูแลน้องอย่างดี บางแห่ง ก็ให้ดูแลตัวเอง บางแห่งให้กินนอนที่ ศาลาประชาคมหมู่บ้าน บางแห่งก็ให้นอน ในครัวเรือน แต่อย่างไรก็ตามคงจัดว่า ไม่ลำบากมากนัก แต่พวกเขา กับบอกว่า ชื่นชอบ ชีวิต แบบนี้ ผมแอบดู และสังเกต ความเป็นอยู่น้อง ๆ โดยส่องเฟสบ้าง ตั้งกลุ่มลาย บ้าง เพื่อสื่อสาร กันระหว่างผม กับน้อง ๆ บางคนบอกว่า ชอบชีวิตแบบนี้ มันลูกทุ่ง อินดี้ มีเรื่องเรียนรู้ ใหม่ ๆ ตลอดระยะเวลา ของการฝึกงาน ทั้งนี้ สามารถสรุปเนื้อหา การทำงานได้ดังนี้
(๑) การสนับสนุนหมู่บ้านห้วยฆ้อง ตำบลพิมาย ประกวดหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ
(๒) การจัดทำโครงการของบประมาณ จากกองทุน สสส. บ้านก่อ ตำบลพิมายเหนือ โครงการผ่านได้รับเงินอุดหนุน ๑.๙ แสนบาท น้องได้ช่วยทำอย่างเต็มกำลัง
(๓) การขับเคลื่อนโครงการต้นกล้าพันธุ์ดีศรีสะเกษ โดยเก็บข้อมูล จากเครื่องมือ ๗ ชิ้น และจัดทำแผนการพัฒนาหมู่บ้าน ชุมชนแห่งนี้ ผ่านการคัดเลือก เข้ารอบ ๘ หมู่บ้าน จาก ๒๒ หมู่บ้าน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงาน ของ น้อง ๆ ที่ช่วยกันทำงาน
(๔) การขับเคลื่อนบูรณาการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ บ้านโพธิ์สามัคคี ทำกิจกรรมเพาะกล้านาโยน เพื่อสร้างการเรียนรู้ของประชาชน จนประสบผลสำเร็จ
(๕) การสนับสนุน หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม บ้านรงระ เป็น งานสุดท้าย ก่อนที่จะครบระยะเวลา ในการฝึกประสบการณ์
ผมได้เรียนรู้ อะไร บ้างจากการรับ น้องมาฝึกงาน ผมเชื่อว่า เราได้เรียนรู้ และเติมเต็มซึ่งกันและกัน ผมได้โอกาส คิดค้น งาน ในพื้นที่อย่างเป็นระบบ ในพื้นที่ และมีน้อง ๆ ช่วยกันไปลงมือทำ ให้งานได้บรรลุเป้า ตามแผนงานที่กำหนด งานเป็นไปได้ด้วย ดี ผมก็เบาแรง ในงาน บางงานก็มีทีมงานช่วยกันคิดค้น และลงมือทำ จนประสบผลสำเร็จ ผมคิดเสมอว่า การฝึกงานที่มีคุณค่า ควรเป็นการฝึกงานที่ได้ทำงาน ไม่ใช่การมา นั่งประจำที่สำนักงาน เพื่อทำงานธุรการเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น พิมพ์งาน เสริฟน้ำ กาแฟ แล้วรอเวลา กลับบ้าน แต่ในมิติที่กล่าวมา ก็ มิใช่ว่า ไม่มีประโยชน์ เพียงแต่ผมมอง ว่า แบบนี้ เป็นการทำงาน ที่ีได้ประโยชน์ ได้เรียนรู้ มากกว่า
ในช่วงปลายของการฝึก งาน ผมกับน้อง วางแผนงานร่วมกัน ๔ ฝ่าย คือ ผม น้องเยาวชน และนักศึกษาฝึกงาน ผู้นำชุมชน กำหนด แผนร่วมกัน อย่างชัดเจน ในระยะเวลา ๑๐ วันสุดท้าย ตารางงานถูกวาง ไว้อย่างแน่น หนา แบบเล็งผลสำเร็จ อย่างมีความคาดหวัง มีความหมาย น้อง ๆ ก็ทำหน้าที่ ตัวเอง ได้อย่างดี
แต่แล้วเหตุการณ์ ที่สะเทือน ใจทุกคนก็เกิดขึ้น เมื่อ อุบัติเหตุ ได้ นำความสูญเสีย มาสู่ น้องฝึกงาน เขาได้สูญเสีย บิดา มารดา ไปอย่างไม่มีวันกลับ ในเหตุการณ์เดียวกัน พร้อมกัน ทั้ง ๒ ท่าน ผมรู้สึกเสียใจ และสงสาร น้องเขา จับใจ ถึงแม้ เราจะร่วมงานกันไม่นาน แต่พูดได้เต็มปาก ว่าผมรักน้อง ๆ ทั้ง ๕ คน เหมือนน้องชาย คนหนึ่ง ผมเสียใจกับเขา
และอยากให้เขา ได้หยัดยืน เข้มแข็ง และก้าวไปข้างหน้า ให้ได้ ถึงแม้จะทำใจ ลำบาก แต่นั่นล่ะมันเป็น สัจธรรมของชีวิต ที่ เราทุกคน ไม่สามารถ หนีพ้นได้เลย
กาลเวลาผ่านไป นานพอสมควร ผมจึงได้รับสายโทรศัพท์ จากน้อง ๆ นักศึกษาที่ ม.ราชภัฎบุรีรัมย์ มาติดต่อพูดคุย เรื่องการฝึกประสบการณ์ ที่ อ.ปรางค์กู่ จำนวน ๕ คน ซึ่งผมปรึกษาท่านผู้บังคับบัญชา แล้ว มีความเห็นร่วมกันว่า นักศึกษาฝึกงาน ๕ คน นั้น มีปริมาณมากเกินกว่า ที่สำนักงานจะรับได้ ดังนั้น จึงเสนอท่านไปว่า ขอออกแบบงานให้นักศึกษา ทำงานในพื้นที่ นอนในหมู่บ้าน โดยท่าน ให้ผมเป็นพี่เลี้ยง ดูแล กำกับ ติดตามสนับสนุนการทำงาน ของน้องให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการฝึกประสบการณ์ ที่นี่ ตลอดระยะเวลา ๒ เดือน ซึ่งเงื่อนไขการนอนพื้นที่ น้อง ๆ ก็ยอมรับได้ จึงตกลงปลงใจ มาทำงานร่วมกัน กระทั่งปัจจุบัน
ผมได้ออกแบบ ให้น้อง นอน ทำงานในชุมชน ศึกษางานจากชุมชนเชิงลึก ตามแนวทางของนักมานุษยวิทยา ที่ต้องคลุกคลีตีโมง กับชุมชน เรียนรู้พร้อมๆ กันกับประชาชน ซึ่งหลักสูตรนี้ เพื่อพัฒนากร ที่สำนักงานพัฒนาชุมชน ต่าง บอกว่า เป็นหลักสูตรที่ค่อนข้างโหด ลำบากลำบน ไม่รู้จะอยู่จะกิน หรือนอน แบบไหน อย่างไร แต่ผมก็ใจแข็ง และคิดว่า ไม่หนักจนเกินไป เพราะ ผมเองก็เคยผ่านสถานการณ์ เช่นนี้ มาบ้าง เมื่อครั้ง เป็นนักศึกษา
ตลอดระยะเวลา ๒ เดือน น้อง ๆ ได้เรียนรู้ กับชุมชน ถึง ๕ ชุมชน และได้ใช้เครื่องมือ ๗ ชิ้นของ ดร.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ เป็น เครื่องมือ ในการทำความเข้าใจกับชุมชน การอยู่การกินของน้อง ๆ จึงผูกพันธ์ กับ สภาพของชุมชน ชุมชนบางแห่งดูแลน้องอย่างดี บางแห่ง ก็ให้ดูแลตัวเอง บางแห่งให้กินนอนที่ ศาลาประชาคมหมู่บ้าน บางแห่งก็ให้นอน ในครัวเรือน แต่อย่างไรก็ตามคงจัดว่า ไม่ลำบากมากนัก แต่พวกเขา กับบอกว่า ชื่นชอบ ชีวิต แบบนี้ ผมแอบดู และสังเกต ความเป็นอยู่น้อง ๆ โดยส่องเฟสบ้าง ตั้งกลุ่มลาย บ้าง เพื่อสื่อสาร กันระหว่างผม กับน้อง ๆ บางคนบอกว่า ชอบชีวิตแบบนี้ มันลูกทุ่ง อินดี้ มีเรื่องเรียนรู้ ใหม่ ๆ ตลอดระยะเวลา ของการฝึกงาน ทั้งนี้ สามารถสรุปเนื้อหา การทำงานได้ดังนี้
(๑) การสนับสนุนหมู่บ้านห้วยฆ้อง ตำบลพิมาย ประกวดหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ
(๒) การจัดทำโครงการของบประมาณ จากกองทุน สสส. บ้านก่อ ตำบลพิมายเหนือ โครงการผ่านได้รับเงินอุดหนุน ๑.๙ แสนบาท น้องได้ช่วยทำอย่างเต็มกำลัง
(๓) การขับเคลื่อนโครงการต้นกล้าพันธุ์ดีศรีสะเกษ โดยเก็บข้อมูล จากเครื่องมือ ๗ ชิ้น และจัดทำแผนการพัฒนาหมู่บ้าน ชุมชนแห่งนี้ ผ่านการคัดเลือก เข้ารอบ ๘ หมู่บ้าน จาก ๒๒ หมู่บ้าน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงาน ของ น้อง ๆ ที่ช่วยกันทำงาน
(๔) การขับเคลื่อนบูรณาการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ บ้านโพธิ์สามัคคี ทำกิจกรรมเพาะกล้านาโยน เพื่อสร้างการเรียนรู้ของประชาชน จนประสบผลสำเร็จ
(๕) การสนับสนุน หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม บ้านรงระ เป็น งานสุดท้าย ก่อนที่จะครบระยะเวลา ในการฝึกประสบการณ์
ผมได้เรียนรู้ อะไร บ้างจากการรับ น้องมาฝึกงาน ผมเชื่อว่า เราได้เรียนรู้ และเติมเต็มซึ่งกันและกัน ผมได้โอกาส คิดค้น งาน ในพื้นที่อย่างเป็นระบบ ในพื้นที่ และมีน้อง ๆ ช่วยกันไปลงมือทำ ให้งานได้บรรลุเป้า ตามแผนงานที่กำหนด งานเป็นไปได้ด้วย ดี ผมก็เบาแรง ในงาน บางงานก็มีทีมงานช่วยกันคิดค้น และลงมือทำ จนประสบผลสำเร็จ ผมคิดเสมอว่า การฝึกงานที่มีคุณค่า ควรเป็นการฝึกงานที่ได้ทำงาน ไม่ใช่การมา นั่งประจำที่สำนักงาน เพื่อทำงานธุรการเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น พิมพ์งาน เสริฟน้ำ กาแฟ แล้วรอเวลา กลับบ้าน แต่ในมิติที่กล่าวมา ก็ มิใช่ว่า ไม่มีประโยชน์ เพียงแต่ผมมอง ว่า แบบนี้ เป็นการทำงาน ที่ีได้ประโยชน์ ได้เรียนรู้ มากกว่า
ในช่วงปลายของการฝึก งาน ผมกับน้อง วางแผนงานร่วมกัน ๔ ฝ่าย คือ ผม น้องเยาวชน และนักศึกษาฝึกงาน ผู้นำชุมชน กำหนด แผนร่วมกัน อย่างชัดเจน ในระยะเวลา ๑๐ วันสุดท้าย ตารางงานถูกวาง ไว้อย่างแน่น หนา แบบเล็งผลสำเร็จ อย่างมีความคาดหวัง มีความหมาย น้อง ๆ ก็ทำหน้าที่ ตัวเอง ได้อย่างดี
แต่แล้วเหตุการณ์ ที่สะเทือน ใจทุกคนก็เกิดขึ้น เมื่อ อุบัติเหตุ ได้ นำความสูญเสีย มาสู่ น้องฝึกงาน เขาได้สูญเสีย บิดา มารดา ไปอย่างไม่มีวันกลับ ในเหตุการณ์เดียวกัน พร้อมกัน ทั้ง ๒ ท่าน ผมรู้สึกเสียใจ และสงสาร น้องเขา จับใจ ถึงแม้ เราจะร่วมงานกันไม่นาน แต่พูดได้เต็มปาก ว่าผมรักน้อง ๆ ทั้ง ๕ คน เหมือนน้องชาย คนหนึ่ง ผมเสียใจกับเขา
และอยากให้เขา ได้หยัดยืน เข้มแข็ง และก้าวไปข้างหน้า ให้ได้ ถึงแม้จะทำใจ ลำบาก แต่นั่นล่ะมันเป็น สัจธรรมของชีวิต ที่ เราทุกคน ไม่สามารถ หนีพ้นได้เลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น