อำเภอปรางค์กู่
จังหวัดศรีสะเกษ เป็นอำเภอหนึ่งที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหม มาอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับหน่วยงานราชการ ในระดับต่างๆ เข้ามาสนับสนุนเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน
จนกระทั่งในปัจจุบัน ผ้าไหมทอมือปรางค์กู่ เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้นิยมผลิตภัณฑ์ผ้าไหม
ด้วยเอกลักษณ์ผ้าไหมทอมือที่มีความโดดเด่น ด้วยเนื้อผ้าที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติ
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้สวมใส่
แม่สุขุมา
จำปาพันธ์ ผู้หัวเรือใหญ่ ในการขับเคลื่อนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านน้อยนาเจริญ กล่าวว่า
กลุ่มฯ
ได้พัฒนากระบวนการผลิตผ้าไหมทอมือมาอย่างยาวนาน ผ่านการสืบทอดจากรุ่นต่อรุ่น
จนถึงทุกวันนี้ ในอดีตที่ผ่านมา
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านน้อยนาเจริญ ผลิตผ้าไหม หลากหลายชนิด เช่น ผ้าขิต ผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า เป็นต้น และในปัจจุบันได้ต่อยอด
ไปสู่การผลิตตามความต้องการของตลาด จากภายนอก เช่น ผ้าคลุมไหล่ ผ้ามัดหมี่
ผ้าคลุมไหล่ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติ ซึ่งเป็นจุดเด่นของกลุ่มที่ เน้นเป็นพิเศษ
ในการพัฒนาทักษะ การทอสีย้อมธรรมชาติ มาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๕ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาอบรมให้ความรู้
การฟอกย้อมด้วยสีธรรมชาติ และตามด้วยหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด
สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ และศูนย์หม่อนไหม
ร่วมกันบูรณาการในการส่งเสริมความรู้ให้กลุ่ม
ฯ ในด้านการทอผ้าด้วยการย้อมสีธรรมชาติ
ในด้านการพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหม
ก็นับเป็นหัวใจสำคัญอีกด้านหนึ่ง เพราะถ้าไม่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์
ก็เป็นการยากที่จะได้รับการยอมรับจาก ผู้บริโภค กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านน้อยนาเจริญ
จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหม จนได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ หลากหลายชนิด ทั้ง มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน
(มผช.) มาตรฐานตรานกยูง และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ OTOP ปี พ.ศ.
๒๕๕๓ ได้รับ ๕ ดาว
และในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้รับ ๕ ดาว เหตุดังนี้เอง
จึงทำให้กลุ่มได้รับโอกาสทางการตลาด
โดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้ให้กลุ่มฯ ไปจำหน่ายสินค้า ในมหกรรมสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
OTOP เป็นประจำทุกปี
ในงาน OTOP กลางปี โอทอปชิตี้
และโอทอปศิลปาชีพประทีปไทยเทิดไท้ราชินี
ที่เมืองทองธานี สร้างรายได้อย่างมั่นคงให้แก่กลุ่ม ฯ เพราะสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งนี้
ในการจำหน่วยสินค้าในแต่ละครั้ง
สามารถจำหน่ายสินค้าในโดยเฉลี่ยอยู่ที่
๑ – ๒ แสนบาท
ต่อการจำหน่ายในแต่ละครั้ง
แม่สุขุมา จำปาพันธ์
กล่าวว่า
นโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ OTOP เป็นนโยบายที่สำคัญที่ให้โอกาส
กลุ่มอาชีพในชุมชนมีการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ ได้เปิดหูเปิดตา มองโลกกว้าง
แล้วย้อนกลับมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง อย่างสม่ำเสมอ ทศวรรษใหม่ สินค้าไทย พัฒนาไม่หยุดยั้ง ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กลุ่มประสบผลสำเร็จ
คือการพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพ
และเรียนรู้อยู่เสมอในการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
บทเรียนดังกล่าว
นับเป็นแนวทางหนึ่งที่พัฒนากร ในฐานะนักพัฒนาภาครัฐ
ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการกระตุ้นให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น
ต่อยอด สู่การเกิดการสร้างงานสร้างรายได้
สร้างอาชีพ ให้มั่นคง ส่งเสริมครอบครัวแข็งแรง ชุมชนเข้มแข็ง
และเศรษฐกิจฐานรากมั่นคง .
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น